วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

แบบฝึกหัด


แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 7  ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ผลกระทบของเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ 
    ด้านเศรษฐกิจ
1. ผลกระทบในด้านการเงิน การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานธนาคารทำให้เกิดระบบออนไลน์ต่างสาขา และระบบเงินด่วน หรือ ATM ในทัศนะของธนาคารเองนี่เป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ประหยัดค่าใช้จ่ายและบุคลากร พร้อมๆกับเพิ่มอำนาจในการแข่งขันของธนาคารไปด้วย
2. ผลกระทบในด้านการดำเนินธุรกิจ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ทำให้การทำธุรกิจสะดวกมากขึ้น บริษัทสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้ส่งสินค้า และลูกค้าได้อย่างรวดเร็วผู้บริหารได้รับข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับ การดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น และทำให้สามารถตัดสินใจในด้านที่เกี่ยวข้องกับการเงิน การขยายตัว การเลือกซื้อหรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วมากขึ้น
3. ผลกระทบในด้านการแข่งขัน การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการดำเนินธุรกิจหลายด้าน ทำให้บริษัทต้องแข่งขันมากขึ้น วิธีการแข่งขันมีหลายแบบแต่แบบที่เป็นประโยชน์ต่อตัวบริษัทและต่อลูกค้าเอง ก็คือ การเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการพร้อม ๆ กับการลดราคา
4. ผลกระทบในด้านการผลิต เมื่อประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เมื่อทศวรรษที่แล้ว ปรากฏว่าโรงงานอุตสาหกรรมส่วนมากเป็นแบบที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก (Labor Intensive) ไม่ต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิคหรือวิศกรรมมากนักก็สามารถดำเนินการได้ อุตสาหกรรมเหล่านี้บางครั้งมีผู้เรียกว่าเป็น sunset industry คือ อุตสาหกรรมของประเทศที่พัฒนาก้าวหน้ามากกว่าเราไม่ต้องการทำแล้ว ต่อมาเมื่อค่าแรงของไทยสูงขึ้นโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านี้ ก็ไม่สามารถแข่งขันกับโรงงานในประเทศที่มีค่าแรงต่ำกว่าได้ หากเจ้าของโรงงานเป็นชาวไทยก็คงจะต้องปิดโรงงาน การปิดโรงงานที่ใช้แรงงานมากนั้นจะเกิดมากขึ้นเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป และเมื่อโรงงานไม่สามารถปรับตัวเองให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่เจ้าของและผู้บริหารโรงงานอุตสาหกรรมจะต้องเปิดหูเปิดตา รับรู้ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและนำมาปรับปรุงการดำเนินงานของตนอยู่ เสมอ
5. ผลกระทบต่อการบริโภค ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทำให้เกิดผลิตภัณฑ์แปลกใหม่มากขึ้น ผลิตภัณฑ์เองก็มีคุณภาพดีขึ้น และมีรูปร่างลักษณะที่น่าดึงดูดใจมากขึ้นดังนั้นจึงมีผลทำให้ผู้บริโภค เปลี่ยนนิสัยและความเคยชินแบบ อะไรก็ได้ไปสู่การพินิจพิเคราะห์และเลือกสรรมากขึ้น หากผลิตภัณฑ์ใดไม่มีคุณภาพ หรือไม่ได้มาตรฐานพอก็จะไม่ได้รับความนิยม และอาจจะล้มหายตายจากไป

  ด้านการศึกษา
           เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลกระทบต่อการศึกษา การประยุกต์ที่สำคัญก็คือ การสอนใช้คอมพิวเตอร์ (Computer Assisted Instruction หรือ CAI) หรือบางคนอาจชอบใช้คำว่า การเรียนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย (Computer Assisted Learning หรือ CAL) มากกว่า ไม่ว่าจะเป็น CAI หรือ CAL งาน CAI นั้น หากทำแค่เพียงใช้เป็นบทเรียนเสริม หรือเป็นแบบฝึกหัดให้นักเรียนนักศึกษาได้ทดลองทำเพื่อฝึกให้ชำนาญมากขึ้น ก็เป็นเรื่องง่าย

  ด้านกฏหมาย ศีลธรรม จริยธรรม
1. อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crime)
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดความเสียหายต่อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการทำงานโดยทั่วไปอาชญากรรมคอมพิวเตอร์จะรวมถึง
1. Data Diddling คือการปลอมแปลงเอกสาร
 2. Trojan Horse เป็นโปรแกรมที่ผู้เสียหายไม่รู้ตัว
3. Salami Attack เป็นโปรแกรมที่เขียนให้มีการคำนวณเป็นเศษสตางค์
4. Back Doors เป็นโปรแกรมที่จัดทำขึ้นเพื่อเข้าสู่โปรแกรมโดยตรง เพื่อบังคับการทำงานของโปรแกรมนั้น
5. War Dialing เป็นโปรแกรมที่หมุนไปยังหมายเลขโทรศัพท์เป็นพันหมายเลขด้วยระบบอัตโนมัติ
6. Logic Bombs เป็นการเขียนโปรแกรมที่กำหนดเงื่อนไขไว้ล่วงหน้า
7. E-mail Bomb เป็นการส่งไปรษณีอิเล็กทรอนิกส์
ส่วนอาชญากรคอมพิวเตอร์ (Computer criminal) หมายถึง คนที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ หรือล่วงล้ำสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมาก ซึ่งอาชญากรคอมพิวเตอร์หมายถึงบุคคลต่อไปนี้ คือ
1. Cracker เป็นคนที่ไม่มีสิทธิ์เข้าไปใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ แต่สามารถเข้าไปใช้ได้และทำลายข้อมูล หรือบ้างครั้งขโมยข้อมูลหรือทำลายระบบคอมพิวเตอร์นั้น ๆ
2. Hacker เป็นคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เช่นเดียวกับ Cracker แต่ Hacker จะทำเพราะความอยากรู้ อยากลองหรือเพื่อนันทนาการก็ได้ hacker สามารถเข้าไปดู e-mail เข้าถึง web server หรือการโอนแฟ้มข้อมูลเพื่อเอารหัสผ่านหรือขโมยแฟ้มข้อมูล
2. กฎหมายลิขสิทธิ์
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4 ได้กำหนดนิยามของคำว่าลิขสิทธิ์ว่าหมายถึง สิทธิแต่ผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้นส่วนการ ละเมิดลิขสิทธิ์ คือการกระทำต่าง ๆ อันขัดต่อสิทธิแต่ผู้เดียวของเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งมีข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์เกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยการใช้งาน โดยธรรมของบรรณารักษ์และนักสารนิเทศ ในมาตรา 35 ได้บัญญัติการกระทำแก่โปรแกรมคอมพิวเตอร์อันมีลิขสิทธิ์มิให้ถือว่าเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ในกรณีดังต่อไปนี้
1. วิจัยหรือศึกษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น
2. ใช้เพื่อประโยชน์ของเจ้าของสำเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น
3. ติชม วิจารณ์ หรือแนะนำผลงาน โดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น
4. เสนอรายงานข่าวทางสื่อสารมวลชนโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของในโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น
5. ทำสำเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในจำนวนที่สมควร โดยบุคคลผู้ซึ่งได้ซื้อ หรือได้รับโปรแกรมนั้นมาจากบุคคลอื่นโดยถูกต้อง เพื่อเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในการบำรุงรักษาหรือป้องกันการสูญหาย
6. ทำซ้ำ ดัดแปลง นำออกแสดง หรือทำให้ปรากฏ เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาศาล หรือเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจตามกฎหมาย หรือในการรายงานผลการพิจารณาดังกล่าว
7. นำโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการถามและตอบในการสอบ
8. ดัดแปลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในกรณีที่จำเป็นแก่การใช้
9. จัดทำสำเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อเก็บรักษาไว้สำหรับการอ้างอิงหรือค้นคว้าเพื่อประโยชน์ของสาธารณชน
อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าว จะต้องไม่มีวัตถุประสงค์ เพื่อหากำไร และไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากโปรแกรมคอมพิวเตอร์อันมีลิขสิทธิ์ตามปกติ ของเจ้าของลิขสิทธิ์ ตลอดจนไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลิขสิทธิ์เกิน สมควร
3. การพนันบนเครือข่าย
บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตพบว่า มีบริการบ่อนกาสิโนบนเครือข่ายไม่น้อยกว่า 100 บริษัทตั้งอยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และอเมริกาใต้ เปิดให้บริการนักเสี่ยงโชคตลอด 24 ชั่วโมง ลักษณะคล้ายบ่อนกาสิโนจริงในลาสเวกัส หรือมาเก๊าในฮ่องกง ผู้เล่นจะต้องมีบัตรเครดิตนานาชาติ เมื่อบริษัท ผู้ให้บริการได้ตรวจสอบบัญชีบัตรเครดิตของผู้เล่นถูกต้อง จึงให้ผู้เล่นซื้อวงเงินตามจำนวนที่ต้องการนำไปเล่นพนันได้ การจ่ายเงินชนะพนัน หรือตัดเงินแพ้พนัน โดยใช้วิธีผ่านเครือข่าย วิธีการนี้ยังไม่มีการเสียภาษีเหมือนบ่อนการพนันทั่วไป
4. การแพร่ภาพอนาจารบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ภาพอนาจารที่แพร่อยู่บนอินเทอร์เน็ต สามารถเรียกดูได้ทั่วโลกการควบคุมค่อนข้างเป็นเรื่องยาก เนื่องจากศูนย์บริการมีมากมายหลายแห่งและมีผู้ใช้บริการทั่วโลก ปัญหาภาพอนาจารบน เครือข่าย มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากปัญหาการใช้คอมพิวเตอร์ในการเผยแพร่ภาพอนาจารที่ ผ่านมาคือ มีลักษณะเปิดกว้าง ทำให้ปัญหาขยายตัวไปได้อย่างรวดเร็ว และแทบจะไม่มีขอบเขต ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใช้เครือข่าย สามารถนำภาพ ดังกล่าวมาดูได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัว ซึ่งแตกต่างจากการซื้อหาภาพอนาจารมาดูในรูปแบบเดิม ซึ่งไม่อาจทราบว่ามีผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ดูภาพอนาจารเหล่านั้นอยู่หรือไม่ ก่อให้เกิดปัญหาพฤติกรรมทางเพศเบี่ยงเบน และเกิดการล่วงเกินทางเพศบนอินเทอร์เน็ต เช่น การส่งข้อความลามกผ่านอีเมล์ไปยังผู้หญิง การสร้างโฮมเพจที่เต็มไปด้วยภาพนางแบบเปลือย การเปิดให้บริการค้าขายทางเพศ เป็นต้น


  จากผลกระทบข้อที่ 1 นักศึกษาคิดว่า ผลกระทบด้านใดมีผลต่อการดำเนินชีวิตของนักศึกษามากที่สุด จงอธิบายมาพอสังเขป
-          ผลกระทบการต่อการศึกษา    เพราะเราเป็นวัยเรียน อาจารย์นำเทคโนโลยีมาใช้ในการศึกษา เพื่อที่เรานำไปใช้ในอนาคตได้อย่างเหมาะสม และใช้ในชีวิตประจำวันได้ดี

ผลดีของการนำเทคโนโลยีมาใช้ ในด้านการเรียนและการดำรงชีวิตประจำวันของนักศึกษา
            - สะดวกรวดเร็ว
            -  เก็บข้อมูลได้ดี
            - ความรู้ค่อนข้างชัดเจน เห็นภาพ และมีตัวอย่างมากมาย
            - เข้าใจง่าย
            - ฉับไว

ผลเสียของการนำเทคโนโลยีมาใช้ ในด้านการเรียนและการดำรงชีวิตประจำวัน
  ของนักศึกษา

               1. ก่อให้เกิดความเครียดในสังคมมากขึ้น  เนื่องจากมนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เคยทำอะไรแบบใด มักจะชอบทำแบบนั้น ไม่ชอบการ เปลี่ยนแปลง แต่เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปเปลี่ยนแปลง บุคคลที่รับการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงเกิดความวิตกกังวล จนกลาย เป็นความเครียด กลัวว่าคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศจะทำให้คนตกงาน เพราะสิ่งเหล่านี้จะเข้ามาทดแทนมนุษย์
               2. ก่อให้เกิดการรับวัฒนธรรม  หรือการแลกเปลี่ยนวัฒนรรมของคนในสังคมโลก ทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกด้านการแต่งกาย และการบริโภคเปลี่ยนแปลงไป การมอมเมาเยาวชนในรูปของเกมส์อิเล็คทรอนิคส์ ส่งผลกระทบ ต่อการพัฒนาอารมณ์และจิตใจของเยาวชน เกิดการกลืนวัฒนธรรมดั้งเดิมซึ่งแสดงถึงเอกลักษณ์ของสังคมนั้น
               3. ก่อให้เกิดผลด้านศีลธรรม   บทบาทเหล่านี้มีแนวโน้มที่สำคัญมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่จึงควรเรียนรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้ก้าวหน้า และเกิดประโยชน์ต่อประเทศต่อไป
               4. การมีส่วนร่วมของคนในสังคมลดน้อยลง   การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว ในการสื่อสารและการทำงาน แต่ในอีกด้านหนึ่งการมีส่วนร่วมของกิจกรรมทางสังคมที่มีการพบปะสังสรรค์กัน จะน้อยลง ผู้คนมักอยู่แต่ที่บ้านหรือที่ทำงานของตนเองมากขึ้น
               5. การละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลโดยการเพยแพร่ข้อมูลหรือรูปภาพต่อสาธารณชน
ซึ่งข้อมูลบางอย่าง อาจไม่เป็นความจริงหรือยังไม่ได้พิสูจน์ความถูกต้องออกสู่สาธารณะชน ก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคลโดยไม่สามารถป้องกันตนเองได้ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเช่นนี้ ต้องมีกฎหมายออกมาคุ้มครองเพื่อให้นำข้อมูลต่าง ๆ มาใช้ในทางที่ถูกต้อง
               6. เกิดช่องว่างทางสังคม  การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะเกี่ยวข้องกับการลงทุน ผู้ใช้จึงเป็นชนชั้นในอีกระดับหนึ่งของสังคม ในขณะที่ชนชั้นระดับรองลงมามีจำนวนมากกลับไม่มีโอกาสใช้และผู้ยากจนก็ไม่มี โอกาสรู้จักกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
               7. อาชญากรรมบนเครือข่าย   ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้น เช่น ปัญหาอาชญากรรม ตัวอย่างเช่น อาชญากรรมในรูปของการขโมยความลับ การขโมยข้อมูลสารสนเทศ การให้บริการสารสนเทศที่มีการหลอกลวง รวมถึงการบ่อนทำลายข้อมูลและไวรัส
               8. ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ   นับตั้งแต่คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในการทำงาน การศึกษา บันเทิง ฯลฯ การจ้องมอง คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน มีผลเสียต่อสายตา ซึ่งทำให้สายตาผิดปกติ มีอาการแสบตา เวียนศรีษะ นอกจากนั้นยังมีผลต่อสุขภาพจิต เกิดโรคทางจิตประสาท  


แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 6  การสืบค้นและการติดต่อสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต
ความสำคัญของแหล่งสารสนเทศ
     - ช่วยให้เรามีความรู้ พัฒนาตนเองให้มีความรู้ ให้เรามีความข้อมูลใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นคนทันสมัย
เราสามารถค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งสารสนเทศและในแหล่งนั้นๆ มีข้อมูลสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ
     -  ห้องสมุด รูปแบบสิ่งพิมพ์
     - ศูนย์เอกสารหรือศูนย์ข้อมูล  รวบรวมข้อมูลในสาขาใดสาขาหนึ่ง เพื่อให้บริการนักวิจัย นักวิชาการ ฯลฯ
แหล่งสืบค้นข้อมูล(search engine) รูปแบบและเทคนิคการสืบค้นข้อมูล
    -  google.com  เป็นการสืบค้นข้อมูลต่างๆ เช่น รูปภาพ  วิดีโอ  รวมไปถึง มีแปลภาษา  แผนที่
ลักษณะของการบริการต่างๆ และตัวอย่างช่อแหล่งที่ให้บริการ
   FTP
ใช้ในการโอนย้าย หรือคัดลอกแฟ้มข้อมูล และแฟ้มโปรแกรมบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
   E-mail
เป็นบริการติดต่อสื่อสารในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมสูงสุด
   ICQ
เป็นโปรแกรมสื่อสาร ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสาร กับทุกคน
   Web board
เป็นการเปิดเว็บไซต์ ที่ให้ผู้คนมาพบปะ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งกันและกันได้ ตามกลุ่มหรือหัวเรื่องที่ตนสนใจ

 แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 5
เรื่องอินเทอร์เน็ต
จุดประสงค์ของการพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในระยะแรกเกิดจากสาเหตุใด
      อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่พัฒนามาจากอาร์พาเน็ต (ARPAnet) ซึ่งเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายใต้ความรับผิดชอบของหน่วยงานโครงการวิจัยขั้นสูง (Advanced Research Projects Agency : ARPA ) ใน สังกัดกระทรวงกลาโหมของประเทศสหรัฐอเมริกา อาร์พาเน็ตเป็นเครือข่ายทดลองที่ตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนงานวิจัยทางด้านทหาร ที่มีผลมาจากสงครามเย็นระหว่างกลุ่มประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์กับค่ายเสรี ประชาธิปไตย ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผู้นำในค่ายเสรีประชาธิปไตยที่ต้องพัฒนา เทคโนโลยีด้านการทหารให้ล้ำหน้ากว่าสหภาพโซเวียต 
การพัฒนาอาร์พาเน็ตได้ดำเนินการมาเป็นลำดับและได้มีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ถึงกันเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2512 โดยใช้มินิคอมพิวเตอร์รุ่น 316 ของฮันนีเวลล์ เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (host) และมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการต่างกันและอยู่ในสถานที่ 4 แห่งคือ 
1) มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลอสแอนเจลิส 
2) สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด 
3) มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานตา บาร์บารา 
4) มหาวิทยาลัยยูทาห์ 
อาร์พาเน็ตเป็นเครือข่ายที่ประสบความสำเร็จอย่างมากทำให้มีหน่วยงานอีกหลายแห่งเชื่อมต่อเพิ่มมากขึ้น ทำให้อาร์พาเน็ตกลายเป็นเครือข่ายที่ใช้งานได้จริง หน่วยงานอาร์พามีการปรับปรุงใหม่ในปี พ.ศ. 2515 และเรียกชื่อใหม่ว่า ดาร์พา (Defense Advanced Research Project Agency : DARPA) และต่อมาได้โอนความรับผิดชอบอาร์พาเน็ตให้กับหน่วยการสื่อสารของกองทัพในปี พ.ศ. 2518 
เครือข่ายอาร์พาเน็ตนั้นได้มีแผนการขยายเครือข่ายและเปิดการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นโดยใช้เกณฑ์วิธี หรือโพรโทคอล (protocol) ชื่อ คาห์น-เซอร์ฟ (Kahn-Cerf Protocol) ตามชื่อของผู้ออกแบบคือ บ๊อบ คาห์น (Bob Kahn) และวินตัน เซอร์ฟ (Vinton Cerf) ซึ่งก็คือ โพรโทคอลทีซีพี/ไอพี (Transmission Control Protocol/ Internet Protocol : TCP/IP) ที่รู้จักกันในปัจจุบัน และได้กำหนดให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ต้องการต่ออินเทอร์เน็ตใช้โพรโทคอลนี้ในปี พ.ศ. 2526 
ในปลายปี พ.ศ. 2526 อาร์พาเน็ตได้แบ่งออกเป็นสองเครือข่ายคือ เครือข่ายวิจัย (ARPAnet) และเครือข่ายของกองทัพ (MILNET) โดยในช่วงต้นนั้นเครือข่ายทั้งสองเป็นเครือข่ายแกนหลักสำคัญภายในทวีปอเมริกาเหนือ และในช่วงเวลาต่อมาหน่วยงานหลักของสหรัฐที่มีเครือข่ายที่ใช้โพรโทคอลทีซีพี/ไอพี (TCP/IP) เชื่อมต่อเข้ามา เช่น เอ็นเอฟเอสเน็ต (NFSNet) และเครือข่ายของนาซา ทำให้มีการปรับเปลี่ยนชื่อจาก อาร์พา เป็นเฟเดอรัล รีเสิร์ช อินเทอร์เน็ต และเปลี่ยนไปเป็น ทีซีพี/ไอพี  อินเทอร์เน็ต จนกระทั่งเป็นอินเทอร์เน็ต ในปัจจุบัน สำหรับประเทศไทย เริ่มเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ต่อเชื่อมโยงเพื่อส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์กับประเทศออสเตรเลีย ซึ่งทำให้ระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เชื่อมกับอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ในช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติได้มีโครงการที่จะเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระหว่างมหาวิทยาลัยขึ้น เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระหว่างมหาวิทยาลัยในประเทศไทยก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้น

 
ความเป็นมาของการพัฒนาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
               เครือข่ายอินเตอร์เน็ตในประเทศไทยในระยะเริ่มต้น ตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์สำหรับการวิจัยและพัฒนาที่มีชื่อว่าเครือข่ายไทยสาร (ThaiSARN : The Thai Social/Sceientific, Academic and Research Network) ก่อตั้งขึ้นราวเดือน เมษายน 2535 โดยมีการเชื่อมต่อเครือข่ ายคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค (NECTEC) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อ มหาวิทยาลัยที่เชื่อมต่อในระยะเริ่มต้น ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยธรรมศ าสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยได้รับเงินอุดหนุนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช) โดยสนับสนุนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นแม่ข่าย (Server) อุปกรณ์การสื่อสารระบบเครือข่าย พร้อมการเช่าสัญญาณสายสื่อสารจาก มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ไปยังเนคเทคเครือข่ายไทยสารนี้สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ครั้งแรกเมื่อเดือน สิงหาคม 2535 โดยผ่านทาง Gatewayที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ดำเนินการโดยสำนักวิทยบริการ) และการเชื่อมต่อไปอินเตอร์เน็ตนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเป็นค่าเช่าวงจรต่าง ประเทศแต่เพียงผู้เดียว (ในระยะเริ่มแรกเชื่อมต่อด้วยความเร็ว 9,600 bps เสียค่าเช่าประมาณปีละ 2.5 ล้านบาท) ต่อมาเมื่อมีการใช้งานมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2536 เนคเทค ได้เช่าวงจรเป็น Gateway ที่สองของประเทศไทยที่ออกไปสู่อินเตอร์เน็ต และในปัจจุบันได้มี Gateway ออกไ ปสู่อินเตอร์เน็ตเพิ่มเติมอีก เช่นที่ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ซึ่งเป็น Gateway แรกที่เปิดบริการอินเตอร์เน็ต สำหรับภาคเอกชนในประเทศไทย ในปัจจุบันมีศูนย์บริการอินเตอร์เน็ต (Internet Service Provider) สำหรับประชาชนทั่วไปมากมายเครือข่ายไทยสารได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยของรัฐเกือบทุกมหาวิทยาลัย ได้เข้าเชื่อมต่อกับไทยสารและสามารถออกสู่อินเตอร์เน็ตได้แล้ว ซึ่งในขั้นต่อไป ก็ได้มีความพยายามจะขยายเครือข่ายไทยสารอินเตอร์เน็ต ออกไปให้ครอบคลุมสถาบันการศึกษาอื่น ๆ อีก เช่น สถาบันราชภัฏ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล และ โรงเรียนมัธยมการเชื่อมต่อเครือข่ายของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ กับไทยสาร จะอยู่ที่ความเร็วที่แตกต่างกัน และผ่านช่องทางการสื่อสาร (communication channel) ที่แตกต่างกัน ความเร็วอาจจะเป็นที่ 9,600 bps, 19.2 Kbps, 64 Kbps และใช้ช่องทางการสื่อสาร ตั้งแต่การหมุนผ่านสายโทรศัพ ท์ (Dial-up) หรือใช้วงจรเช่า (Leased line) ขององค์การโทรศัพท์ หรือการบริการจากภาคเอกชน หรือใช้ดาวเทียม เป็นต้น
ตัวอย่างองค์กรที่ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในเชิงธุรกิจ และ URL
     ธุรกิจการสื่อสาร เช่น DTAC มี URL ว่า https://www.dtac.co.th/?gclid=CNC_-IP_qrQCFYl66wod4ysA0A

ชื่อองค์กรที่รับผิดชอบในการบริหารและจัดการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
   
ไอซ็อก ไอเอบี ไออีทีเอฟ และไออาร์ทีเอฟ ไอซ็อก 
สมาคมอินเทอร์เน็ต หรือ ไอซ็อก (ISOC : Internet Society) เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ. 2535 ไอซ็อกเป็นองค์กรที่ไม่มุ่งเน้นผลกำไรและมีนโยบายสนับสนุนการใช้อินเทอร์เน็ตให้แพร่หลาย รวมทั้งสนับสนุนการจัดทำมาตรฐานอินเทอร์เน็ตโดยอาศัยไอเอบี ไออีทีเอฟและไออาร์ทีเอฟ นอกจากนี้ไอซ็อกยังทำหน้าที่สนับสนุนการวิจัยและให้ทุนในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ต ไอเอบี

ไอเอบี (IAB : Internet Architecture Board) เป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2526 แต่เดิมนั้นใช้ชื่อว่า Internet Activities Board เมื่อไอซ็อกถือกำเนิดขึ้นก็ได้โอนไอเอบีเข้ามาเป็นหน่วยงานในสังกัด หน้าที่ของไอเอบีคือผลักดันและดูแลพัฒนาการด้านเทคนิคของอินเทอร์เน็ตให้กับไอซ็อก ไอเอบีดูแลองค์กรสองแห่งซึ่งดำเนินงานด้านเทคนิคโดยตรงได้แก่ไออีทีเอฟและไออาร์ทีเอฟ นอกจากนี้ไอเอบียังทำหน้าที่จัดการงานบรรณาธิการและตีพิมพ์เอกสาร อาร์เอฟซี และการกำหนดหมายเลขเพื่อใช้ในอินเทอร์เน็ต โดยไอเอบีมอบภาระงานทั้งสองนี้ให้กับ บรรณาธิการอาร์เอฟซี (RFC Editor) และ ไอนา (IANA : Internet Assigned Number Authority) ตามลำดับ ไออีทีเอฟ 

ไออีทีเอฟ (IETF : Internet Engineering Task Force) เป็นแหล่งรวมของคณะทำงานที่อยู่ภายใต้การดูแลโดยคณะกรรมการอำนวยการไออีเอสจี (IESG : Internet Engineering Steering Group) ไออีทีเอฟประกอบด้วยอาสาสมัคร และผู้เชี่ยวชาญร่วมมือกันพัฒนาสถาปัตยกรรมอินเทอร์เน็ต และช่วยให้อินเทอร์เน็ตดำเนินการได้โดยราบรื่น ไออีทีเอฟเป็นองค์กรที่เปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมทำงานได้ ไออีทีเอฟทำหน้าที่ด้านเทคนิคโดยการสร้าง ทดสอบ และนำมาตรฐานอินเทอร์เน็ตมาใช้งาน มาตรฐานอินเทอร์เน็ตจะผ่านการพิจารณาเห็นชอบโดยไออีเอสจีโดยมีไอเอบีเป็น ที่ปรึกษา งานด้านเทคนิคของไออีทีเอฟแบ่งออกได้เป็นสาขา แต่ละสาขาประกอบด้วยคณะทำงานกลุ่มย่อยที่มีผู้อำนวยการสาขา (Area Directors) เป็นผู้ดูแลจัดการ ผู้อำนวยการสาขาทั้งหมดรวมกับประธานของไออีทีเอฟจะประกอบกันเป็นไออีเอสจี ขณะปัจจุบันไออีทีเอฟจัดแบ่งออกเป็น 9 สาขาได้แก่ สาขาประยุกต์ (Applications Area), สาขาทั่วไป (General Area), สาขาอินเทอร์เน็ต (Internet Area), สาขาการดำเนินงานและการจัดการ (Operations and Management Area), สาขาการเลือกเส้นทาง (Routing Area), สาขาความปลอดภัย (Security Area), สาขาโปรโตคอลทรานสพอร์ต (Transport Area), สาขาการให้บริการผู้ใช้ (User Services Area), และสาขางานย่อยไอพี (Sub-IP Area) ทั้ง 9 สาขานี้ในปัจจุบันประกอบด้วยคณะทำงาน (Working Groups) รวมทั้งสิ้น 133 กลุ่ม ไออาร์ทีเอฟ 

ไออาร์ทีเอฟ (IRTF : Internet Research Task Force) เป็นแหล่งรวมของคณะทำงานวิจัยที่อยู่ภายใต้การดูแลโดยคณะกรรมการอำนวยการไออาร์เอสจี (IRSG : Internet Research Steering Group) งานของไออาร์ทีเอฟเน้นหนักงานวิจัยระยะยาวในอินเทอร์เน็ต ขณะที่ไออีทีเอฟเน้นหนักงานด้านวิศวกรรมและการจัดทำมาตรฐาน เพื่อใช้งานในปัจจุบัน ไออาร์ทีเอฟมีคณะวิจัย (Research Groups) ในด้านต่างๆได้แก่ อินเทอร์เน็ตโปรโตคอล การประยุกต์ สถาปัตยกรรม และเทคโนโลยี รวมทั้งสิ้น 12 คณะ องค์กรดูแลด้านข้อมูลและทะเบียน องค์กรในกลุ่มนี้ทำหน้าที่เชิงการจัดการด้านเทคนิคและการประสานงานเครือข่าย งานหลักส่วนหนึ่งในการดำเนินการอินเทอร์เน็ตได้แก่ การจัดสรรแอดเดรส การกำหนดค่าพารามิเตอร์และทะเบียนหมายเลขประจำแต่ละโปรโตคอล รวมทั้งการบริหารโดเมนและจดทะเบียนโดเมน งานนี้แต่เดิมอยู่ในความรับผิดชอบของ ไอนา (IANA : Internet Assigned Number Authority) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนการดำเนินงานรัฐบาลสหรัฐฯ ในปัจจุบันภาระงานนี้ได้ถ่ายโอนไปยังหน่วยงานใหม่ซึ่งก่อตั้งขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2541 คือ ไอแคน (ICANN : The Internet Corporation for Assigned Names and Numbers) ไอแคนเป็นบรรษัทที่จัดตั้งขึ้นโดยไม่มุ่งเน้นผลกำไร และบริหารจัดการโดยคณะกรรรมการที่ได้รับเลือกมาจากนานาชาติ ไอแลนมอบอำนาจให้ศูนย์สารสนเทศเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่แบ่งออกไปตามภูมิภาคทำหน้าที่ดูแลการจัดสรรแอดเดรสและบริหารโดเมน

จุดมุ่งหมายของการใช้หมายเลข IP Address และชื่อโดเมน
 
        IP Address เครือข่ายอินเตอร์เน็ตใช้รหัสหมายเลขมากำหนดให้แต่ละเครือข่ายและเครื่องคอมพิวเตอร์ภานในเครือข่ายที่เชื่อมโยง เรียกหมายเลขเหล่านั้นว่า IP Address หรือ Internet Address ซึ่งการติดต่อสื่อสารบนอินเตอร์เน็ตจะอาศัยหมายเลข IP Address นี้ในการระบุเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทางโดย IP Addressประกอบด้วยเลขฐานสองจำนวน 32บิต แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 8 บิตเท่าๆ กัน เวลาเขียนก็ทำการแปลงให้เป็นเลขฐานสิบ ก่อนเพื่อความง่ายแล้วเขียนคั่นด้วยจุด ดังนั้น หมายเลขทั้งหมดที่เป็นไปได้ โดยค่าไม่ซ้ำกันคือ 2 หรือเท่ากับ4,294,967,296 จำนวน มีค่าหมายเลขตั้งแต่ 000.000.000.000 จนถึง 255.255.255.255 หมายเลขนี้เองที่อินเตอร์เน็ตใช้กำหนดให้กับเครือข่ายและเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้อ้างอิง IP Address บางหมายเลขสงวนไว้ใช้ด้วยจุดมุ่งหมายกรณีพิเศษทำให้ IP Address ที่ใช้งานทั่วไปลดลงจากจำนวนที่เป็นไปได้ ความหมายของ IP Address จะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 
1. กลุ่มที่ใช้เป็นรหัสประจำเครือข่าย (Network Number) 
2. กลุ่มที่ใช้เป็นรหัสประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายในเครือข่าย (Host Number) 
IP Address ในกลุ่มรหัสประจำเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถซ้ำกันได้แต่กลุ่มรหัสประจำเครือข่ายจะซ้ำกันไม่ได้ ดังนั้นรหัสเครื่องที่ซ้ำกันจึงไม่มีผลต่อการอ้างอิงถึง นอกจากนี้เพื่อความเหมาะสมในการกำหนด IP Address ให้กับผู้ขอ ทางผู้บริหารของอินเตอร์เน็ตแบ่ง คลาสของผู้ขอ IP Address ตามขนาดของเครือข่าย เพื่อให้ ทรัพยากรส่วนนี้ถูกใช้อย่าง คุ้มค่าที่สุด องค์กรขนาดใหญ่ก็จะจัดให้อยู่ในคลาสที่สามารถกำหนด IP Address ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ในเครือข่ายได้ มาก การแบ่งคลาส จะแบ่งได้ 5 ระดับ (Class) คือ Class A, Class B, Class C, Class D, Class E แต่ที่ใช้งานในทั่ว ไปจะมีเพียง 3 ระดับคือ Class A, Class B, Class C ซึ่งแบ่งตามขนาดของเครือข่ายนั่นเอง 
ในปัจจุบัน IP ที่อยู่ใน Class A ถูกใช้ในเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วน Class B จะใช้กับองค์กรใหญ่ เช่น Nectec ส่วน บริษัทหรือบุคคลทั่วไป 
Domain Name เป็นชื่อเรียกที่ใช้เรียกแทน IP Address ต่างๆ ที่เว็บไซต์นั้นๆ เก็บอยู่เพื่อให้ง่ายต่อการจดและเรียกใช้งาน หน่วยงานที่รับผิดชอบจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการเชื่อมโยง และการใช้อินเตอร์เน็ต คือ Inter NIC (InternetNetwork Information Center) ผู้จัดการบริการ Domain ได้ทำการจัดตั้ง DNS (Domain Name System)เป็นฐานข้อมูลที่เก็บ และระบบจัดการชื่อลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์เรียกว่า Domain Name Server โดยที่ Serverนี้ทำหน้าที่เป็นดัชนีในการเปิดดูบัญชีหมายเลข IP Address (Lookup) จาก Domain Name ที่รับเข้ามาหรือสรุป ง่ายๆ ก็คือทำการเปลี่ยนชื่อ Domain ให้เป็น IP Addressนั่นเองส่วนของ Domain Name ประกอบด้วยส่วนที่เป็นการกำหนดประเภทขององค์กรเจ้าของเครือข่ายนอกจากนั้น Inter NIC ยังอนุญาตให้เพิ่มการระบุว่าเครือข่ายหรือองค์กรเจ้าของเครือข่ายอยู่ในประเทศใด และผู้สร้างเครือข่าย สามารถกำหนดชื่อเครือข่ายย่อยที่มีอยู่ลงไว้ใน Domain Name ได้ด้วย ส่วนประกอบย่อยของ Domain Name แยกกันด้วยจุดเช่นเดียวกับ IP Address ตัวอย่างของ Domain Name Domain Name เจ้าของ 
www.microsoft.com บริษัทไมโครซอฟต์ 
www.amazon.com ร้านขายหนังสือ Amazon 
www.nontri.ac.th มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 
Domain Name ประกอบด้วย 3 ส่วน แต่ละส่วนเรียกว่า "subdomains" ซึ่งมีความหมายดังนี้ 
ส่วนแรก บอกถึงชนิดของ Server ว่าเป็น WWW server หรือเป็น FTP server 
ส่วนสอง เป็นชื่อของ Domain ซึ่งมักจะตั้งตามชื่อของบริษัทหรือองค์กรที่เป็นเจ้าของ 
ส่วนสาม เป็นส่วนที่ระบุถึงชนิดและสัญชาติของ Domain นั้นๆ เช่น นามสกุลของ Domain Name



เครือข่ายสังคม พร้อมความหมายโดยย่อ
        ครือข่ายสังคมหรือชุมชนเว็บ (Social Network or Web community) รูปแบบของห้องสนทนาถูกพัฒนาต่อมา  เป็นการใช้เพื่อให้กลุ่มคนที่มีความสนใจด้านเดียวกันมาติดต่อสื่อสารกัน  และมีการเลือกชื่อการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายในลับกษณะนี้ว่า   เครือข่ายสังคม (Social Network) หรือ ชุมชนเว็บ (Web Community) ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ให้บริการประเภทนี้ ได้แก่

องค์ประกอบและหน้าที่
     ผู้ส่ง เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูล
     ข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลที่สารถส่งไปยังปลายทางได้
     สื่อกลาง คือสื่อที่ใช้นำข้อมูลข่าวสารไปยังผู้ส่ง อาจอยู่ในรูปแบบของสัญญาณ  หรือสาย
     ผู้รับข้อมูล  คอมพิวเตอร์
ความแตกต่างของสัญญาณ
สัญญาณอนาลอก (Analog Signal) หมายถึงสัญญาณข้อมูลแบบต่อเนื่อง (Continuouse Data) มีขนาดของสัญญาณไม่คงที่ การเปลี่ยนแปลงขนาดของสัญญาณแบบค่อยเป็นค่อยไป กล่าวคือต้องแปรผันตามเวลา โดยทั่วไปคือสัญญาณที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้ เช่น แรงดันของน้ำ ค่าของอุณหภูมิ หรือความเร็วของรถยนต์ เป็นต้น   
             สัญญาณดิจิตัล (Digital Signal) หมายถึงสัญญาณข้อมูลแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Data) มีขนาดของสัญญาณคงที่ การเปลี่ยนแปลงขนาดของสัญญาณเป็นแบบทันที ทันใด กล่าวคือ ไม่แปรผันตามเวลา โดยทั่วไปคือสัญญาณที่มนุษย์ไม่สามารถสัมผัสได้ เช่น สัญญาณไฟฟ้า เป็นต้น
ดังนั้นความแตกต่างกันจะอยู่ที่ข้อมูลต่อเนื่องและไม่ต่อเนื่องค่ะ
3. ทิศทางของการสื่อสาร
  1. แบบทิศทางเดียว (Simplex) เป็นทิศทางการสื่อสารข้อมูลแบบที่ข้อมูลจะถูกส่งจากทิศทางหนึ่งไปยังอีกทิศทาง โดย
ไม่สามารถส่งข้อมูลย้อนกลับมาได้ เช่นระบบวิทยุ หรือโทรทัศน์
2. แบบกึ่งสองทิศทาง (Half Duplex) เป็นทิศทางการสื่อสารข้อมูลแบบที่ข้อมูลสามารถส่งกลับกันได้ 2 ทิศทาง แต่จะ
ไม่สามารถส่งพร้อมกันได้ โดยต้องผลัดกันส่งครั้งละทิศทางเท่านั้น เช่น วิทยุสื่อสารแบบผลัดกันพูด         
 3. แบบสองทิศทาง (Full Duplex) เป็นทิศทางการสื่อสารข้อมูลแบบที่ข้อมูลสามารถส่งพร้อม ๆ กันได้ทั้ง 2 ทิศทาง ในเวลาเดียวกัน เช่น ระบบโทรศัพท์
4.ชนิดของสัญญาณ
 สัญญาณอนาล๊อก (Analog signal)
คือ เป็นสัญญาณแบบต่อเนื่อง ที่มีลักษณะเป็นคลื่นไซน์(Sine Wave) โดยหน่วยวัดสัญญาณแบบนี้คือ เฮิรตซ์(Hertz) โดยมีลักษณะสมบัติ 2 ประการคือ
    ความถี่ของคลื่น (Frequency) คือ จำนวนครั้งที่คลื่นทวนซ้ำระหว่างช่วงเวลาที่กำหนด หมายถึง จำนวนครั้งที่คลื่นจะเสร็จสิ้นหนึ่งรอบในหนึ่งวินาที ความถี่ที่ถูกเพิ่มขึ้นจะถูกแทนด้วย 1
    ช่วงกว้างของคลื่น (Ampitude) คือ ความสูงของคลื่นภายในคาบเวลาที่กำหนด ความกว้าง หมายถึง ความดังของสัญญาณเสียง โดยกำหนดให้เสียงที่ดังเพิ่มขึ้นถูกแทนด้วย 1
สัญญาณดิจิตอล (Digital signal)
คือ สัญญาณที่ไม่ต่อเนื่อง โดยรูปแบบของสัญญาณมีความเปลี่ยนแปลง ที่ไม่ปะติดปะต่อกัน อัตราการส่งข้อมูลมีหน่วยเป็น bps หรือ Bit Per Second
5.พีตเตอร์ (Repeater) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเปลี่ยนตัวกลางนำสัญญาณจากตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่ง เช่น จากไฟเบอร์ออฟติกมายังโคแอกเชียล หรือการเชื่อมระหว่างตัวกลางเดียวกันก็ได้ การใช้รีพีตเตอร์จะทำให้เครือข่ายทั้งสอง เสมือนเชื่อมกัน โดยที่สัญญาณจะวิ่งทะลุถึงกันได้หมด รีพีตเตอร์จึงไม่มีการกันข้อมูล แต่จะมีประโยชน์ในการเชื่อมต่อความยาวให้ยาวขึ้น
บริดจ์ (Bridge) เป็นอุปกรณ์ที่มักจะใช้ในการเชื่อมต่อวงแลนเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถขยายขอบเขตของ LAN ออกไปได้เรื่อยๆ โดยที่ประสิทธิภาพรวมของระบบ ไม่ลดลงมากนัก มักจะถูกใช้ในการเชื่อมเครือข่ายย่อย ๆ ในองค์กรเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายใหญ่ เพียงเครือข่ายเดียว เพื่อให้เครือข่ายย่อยๆ เหล่านั้นสามารถติดต่อกับเครือข่ายย่อยอื่นๆ ได้
เกตเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์ที่มีความสามารถสูงสุด ในการเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆเข้าด้วยกัน โดยไม่มีขีดจำกัด ทั้งระหว่างเครือข่ายต่างระบบ หรือแม้กระทั่งโปรโตคอล จะแตกต่างกันออกไป เกตเวย์จะแปลงโปรโตคอล ให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่ต่างชนิดกัน จัดเป็นอุปกรณ์ที่มีราคาแพง และติดตั้งใช้งานยุ่งยาก เกตเวย์บางตัว จะรวมคุณสมบัติในการเป็นเราเตอร์ด้วยในตัว หรือแม้กระทั่ง อาจรวมเอาฟังก์ชั่นการทำงาน ด้านการรักษาความปลอดภัยที่เรียกว่าไฟร์วอลล์ (Firewall) เข้าไว้ด้วย
สวิตช์ (Switch) จะมี ความสามารถในการทำงานมากกว่า Hub โดยที่อุปกรณ์ Switch จะทำงานในการ รับ-ส่งข้อมูล ที่สามารถส่งข้อมูลจากพอร์ตหนึ่งของอุปกรณ์ ไปยังเฉพาะพอร์ตปลายทางที่เชื่อมต่ออยู่กับอุปกรณ์ หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการส่งข้อมูลไปหาเท่านั้น ซึ่งจากหลักการทำงานในลักษณะนี้ ทำให้พอร์ตที่เหลือของอุปกรณ์ Switch ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรับ-ส่งข้อมูลนั้น สามารถทำการ รับ-ส่งข้อมูลกันได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ทำให้ในปัจจุบันอุปกรณ์ Switch จึงได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานในระบบเครือข่ายมากกว่า ฮับ (Hub)
6.เปรียบเทียบข้อดี
เครือข่ายแบบบัส (Bus Topology)
จะทำงานเหมือนกับรถบัสโดยสารประจำทางคอยวิ่งรับส่งผู้โดยสารจากจุดหนึ่งๆ ไปยังจุดหมายปลายทาง ในเครือข่ายแบบบัส จะไม่มีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ศูนย์กลายคอยควบคุมจัดการ ทุกเครื่องในเครือข่ายจะเชื่อมต่อเข้ากับช่องสื่อสารเส้นเดียวกัน อุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดในเครือข่ายสามารถสื่อสารส่งข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์ถึงกันได้โดยไม่จำเป็น ต้องมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ศูนย์กลาง ถ้ามีบางข่าวสารชนกัน อุปกรณ์ตัวนั้นจะหยุดชั่วขณะแล้วพยายามส่งใหม่
    ข้อดี คือ สามารถจัดการได้ทั้งเครือข่ายแบบ client/server และแบบ peer-to-peer
    ข้อจำกัด คือ จำเป็นต้องใช้วงจรสื่อสารและซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยเพื่อหลีกเลี่ยงการชนกันของสัญญาณข้อมูล และถ้ามีอุปกรณ์ตัวใดตัวหนึ่งเสียหาย อาจส่งผลให้ทั้งระบบหยุดทำงานได้
เครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Topology)
คือ ไมโครโปรเซสเซอร์ทุกเครื่องจะสื่อสารกันถายในเครือข่ายผ่านสายสัญญาณที่มีลักษณะเป็นวงแหวน สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จะถูกส่งวิ่งไป รอบวงแหวนจนกระทั่งไปถึงยังเครื่องปลายทางโดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์เป็นศูนย์กลาง โดยมีโทเคนซึ่งเป็นบิต แบบมีแบบแผนจะวิ่งไปรอบๆ วงแหวนทำหน้าที่พิจารณาว่าเครื่องใดในเครือข่ายจะ เป็นผู้ส่งสารสนเทศ
    ข้อดี ข่าวสารจะเคลื่อนที่เป็นลำดับไปในทิศทางเดียว ขจัดปัญหาการชนกันของสัญญาณ
    ข้อจำกัด ถ้าเครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่ายเสียหาย อาจทำให้ทั้งระบบหยุดทำงานได้
7.ความเป็นอิสระของ
ข้อมูลทางตรรกะ (Logical data independence) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในระดับแนวคิดจะไม่ส่งผลกระทบต่อระดับภายนอก  เช่น  การเพิ่มเอนติตี้ , แอททริบิวท์ และความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับแนวคิด จะไม่กระทบกับมุมมองภายนอก หรือไม่ต้องเขียนโปรแกรมใหม่ความเป็นอิสระของข้อมูลในระดับกายภาพ (Physical data independence) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในระดับภายในไม่ส่งผลกระทบต่อระดับแนวคิด  การเปลี่ยนแปลงในระดับภายในได้แก่ การใช้โครงสร้างแฟ้มข้อมูลใหม่ หรือโครงสร้างการจัดเก็บใหม่ , ใช้หน่วยเก็บข้อมูลแบบอื่น , การแก้ไขดัชนีหรืออัลกอริธึมแบบแฮช

8.เครือข่ายแบบ Peer-to-Peer เครือข่ายแบบนี้จะเก็บไฟล์และการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้แต่ละคน โดยไม่มีคอมพิวเตอร์ส่วนกลางที่ทำหน้าที่นี้ เรียกได้ว่าต่างคนต่างเก็บ ต่างคนต่างใช้ แต่ผู้ใช้ในเครือข่ายสามารถเรียกใช้ไฟล์จากคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้ ถ้าคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นทำการแชร์ไฟล์เหล่านั้นไว้ เครือข่ายแบบ Peer-to-Peer นี้เหมาะสำหรับองค์กรขนาดเล็กที่มีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกันไม่เกิน 10 เครื่อง เนื่องจากติดตั้งง่าย ราคาไม่แพง และการดูแลไม่ยุ่งยากนัก แต่ถ้าคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายมีมากกว่า 10 เครื่องขึ้นไปควรจะใช้เครือข่ายแบบอื่นดีกว่า
เครือข่ายแบบ Client/Serverเป็นรูปแบบหนึ่งของเครือข่ายแบบ server-based โดยจะมีคอมพิวเตอร์หลักเครื่องหนึ่งเป็น เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจะไม่ได้ทำหน้าที่ประมวลผลทั้งหมดให้เครื่องลูกข่าย หรือไคลเอนต์ (client) เซิร์ฟเวอร์ทำหน้าที่เสมือนเป็นที่เก็บข้อมูลระยะไกล (remote disk) และประมวลผลบางอย่างให้กับไคลเอนต์เท่านั้น เช่น ประมวลผลคำสั่งในการดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูล (database server) เป็นต้น

แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 2 การจัดการข้อมูลและสารสนเทศ
ลักษณะของข้อมูลที่ดี
            1.ความถูกต้อง (Accuracy) ข้อมูลมีความถูกต้องตามความเป็นจริง ต้องบอกลักษณะความเป็นจริงของข้อมูลได้ผู้เก็บข้อมูลต้องไม่มีความเอนเอียง ไม่ชี้นำไปทางใด ทางหนึ่ง
         2.ความสมบูรณ์ (Completeness) ข้อมูลมีความครบถ้วนทั้งรายการและจำนวนทุกด้านข้อมูลต้องไม่ขาดหรือไม่เกิน
        3.ทันต่อเวลา (Timelines) ข้อมูลต้องเป็นข้อมูลที่ทันสมัย (Up to date) ทันตามกำหนดเวลาที่จะนำไปใช้งาน
        4.ความเหมาะสมกับการประมวลผล ข้อมูลที่ได้มาไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตามเมื่อจะนำมาประมวลผลด้วยเครื่อง คอมพิวเตอร์จะต้องจัดข้อมูลให้อยู่ในรูปที่สามารถบันทึกเข้ากันได้
องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล พร้อมทั้งตัวอย่างระบบฐานข้อมูลที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
 - ข้อมูล
เครื่องและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล
ผู้จัดการฐานข้อมูล
ประโยชน์ของระบบจักการฐานข้อมูล
มีความกระชับ
จัดการได้รวดเร็ว
ลดความน่าเบื่อหน่าย
ข้อมูลเป็นปัจจุบัน
ประโยชน์ของระบบสารสนเทศต่อไปนี้ พร้อมทั้งตัวอย่างประกอบ
   MIS  ระบบที่ให้สารสนเทศที่ผู้บริการต้องการใช้ในองค์กรนั้นๆเป็นสารสนเทศทั้งในอดีตและปัจจุบัน
  
DSS  พัฒนาขึ้นจากระบบ MIS สำหรับทำการตัดสินใจ
 
ES    เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ช่วยผู้บริหารแตกต่างจากระบบอื่นเกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้มากกว่าสารสนเทศ
 
DP   ระบบประมวลผลประจำวัน
 EIS   ระบบผู้บริการสูงสุด
ความแตกต่างระหว่างระบบสารสนเทศ
  MIS กับ DP   คือ MIS ประมวลทั้งอดีตและปัจจุบัน DP ประมวลผลแบบปัจจุบัน
 
DSS กับ MIS    คือ DSS มีประสิทธิภาพมากกว่าMIS
 EIS  กับ DSS  คือ EIS คือการเก็บข้อมูล DSS คือการตัดสินใจ


แบบฝึกหัดบทที่ 3 ไฮเบอร์มีเดีย
ลักษณะงานไฮเปอร์มีเดีย
          เป็นการใช้คอมพิวเตอร์นำเสนอข้อมูลหรือเนื้อหาความรู้ต่างๆ ทั้งในรูปของ ข้อความ เสียง ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว โดยผู้ใช้สามารถเชื่อมโยงไปมาระหว่างส่วนต่าง ๆ ของบทเรียนได้อย่างรวดเร็วตามต้องการ ไฮเปอร์มีเดียเป็นการขยายแนวความคิดมาจากไฮเปอร์เทกซ์ อันเป็นผลมาจากพัฒนาการของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ที่สามารถประสมประสานสื่อหรืออุปกรณ์หลายอย่าง(Multiple media) ให้ทำงานไปด้วยกันซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ดังกล่าวโดยทั่วไปนิยมเรียกว่า มัลติมีเดีย (Multimedia)
ตัวอย่างโปรแกรมสร้างไฮเปอร์มีเดีย
Microsoft word                                       Note pad
Wordpron                                 Adobe photoshop
Prentation                                Asymetrix Toolbook II
Macromdia Authoruare                          Macromedia Director
Sound  Forge                           Adobe Premiere

บทที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ

ความหมาย เทคโนโลยี

      พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 เทคโนโลยี หมายถึง วิทยาการที่เกี่ยวกับศิลปะในการนำเอาวิทยาศาสตร์มาประยุกต์มาใช้ให้เกิด ประโยชน์ในทางปฏิบัติและอุตสาหกรรม
 ลเบรท (Galbraith 1967 : 12) เทคโนโลยีเป็นการใช้อย่างเป็นระบบของวิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือความรู้ต่าง ๆ ที่รวบรวมไว้มาใช้อย่างเป็นระบบเพื่อนำไปสู่ผลในทางปฏิบัติ
      เดล ( Dale 1969 : 610) ให้ความหมายว่า เทคโนโลยีประกอบด้วยผลรวมของการทดลอง เครื่องมือ และกระบวนการ ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดจากการเรียนรู้ ทดลองและได้ปรับปรุงแก้ไขมาแล้ว
    ดังนั้น เทคโนโลยี คือ การประยุกต์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มาทำให้เกิดประโยชน์ เทคโนโลยีนับเป็นส่วนเสริมหรือตัวการพิเศษในระบบการดำรงอยู่ของมนุษย์ เราสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ทางที่เป็นประโยชน์เพื่อพัฒนาศักยภาพและคุณภาพ ชีวิตเราได้ เนื่องจากเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือขยายวิสัยอินทรีย์ของมนุษย์โดยนำมาใช้ใน งานสาขาต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น วงการเกษตร ใช้เทคโนโลยีเพิ่มผลผลิตและการถนอมพืชผล วงการแพทย์มีการผลิตเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย วิธีการรักษาโรคแบบใหม่ ๆ วงการธุรกิจ เช่นสำนักงานอัตโนมัติ ฯลฯ
สารสนเทศ
      สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความจริงของคน สัตว์ สิ่งของ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม หากมีการจัดเก็บรวบรวมและสื่อสารระหว่างกัน หรือข้อมูลได้ถูกกระทำให้มีความสัมพันธ์หรือความหมาย ซึ่งนำไปใช้ประโยชน์ได้

     ครรชิต มาลัยวงศ์ ได้สรุปความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศตามการนำเทคโนโลยีมาใช้ในงานสารสนเทศ แบ่งได้ 6 ประเภท ดังนี้ (ครรชิต มาลัยวงศ์ 2533 : 23)
1.เทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียมถ่ายภาพทางอากาศและพื้นผิวของโลก (Remote Sensing)
    กล้องถ่าย  ภาพ กล้องถ่ายวิดิทัศน์ เครื่องเอกซ์เรย์
2. เทคโนโลยีที่ใช้บันทึกข้อมูล จะเน้นสื่อที่ใช้บันทึก เช่น เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก จานเสียง หรือจานเลเซอร์
    บัตรเอทีเอ็ม
3. เทคโนโลยีที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ ได้แก่หน่วยประมวลผลกลาง และชุดคำสั่งต่าง ๆ
4. เทคโนโลยีที่ใช้ในการแสดงผล เช่น เครื่องพิมพ์ จอภาพ พล็อตเตอร์ ( Plotter) และอื่น ๆ
5. เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดทำสำเนาสารสนเทศ เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องถ่ายไมโครฟิล์ม
6. เทคโนโลยีที่ใช้ในการถ่ายทอดสื่อสารข้อมูลและสารสนเทศ เช่น ระบบโทรคมนาคมต่าง ๆเช่นวิทยุโทรทัศน์ วิทยุ
    กระจายเสียง โทรศัพท์ โทรเลข โทรสาร ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

      ดังนั้น เทคโนโลยีสารสนเทศ จึงหมายถึง การนำวิทยาการที่ก้าวหน้าทางด้านคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสารสนเทศ ทำให้สารสนเทศมีประโยชน์และใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น และรวมถึงการใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ในการรวบรวม จัดเก็บ ใช้งาน ส่งต่อ หรือสื่อสารระหว่างกัน เทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวข้องโดยตรงกับเครื่องมือเครื่องใช้ในการจัดการ สารสนเทศ ได้แก่เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์รอบข้าง ขั้นตอนวิธีการดำเนินการซึ่งเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ ข้อมูล บุคลากร และกรรมวิธีดำเนินงานเพื่อให้ข้อมูลเกิดประโยชน์สูงสุด
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhl-r1JHOqqZhKfopmNBsGiMtDrhta2qa4KGAcTn9eckt0yIrcKlAvzpBGm8tYQSwGTwJTpileUDQ_8r_KO6UCjxaDhMmi6MxDUshVm4i575-AOwYs7gtMTLx-Pi1tz2TC_agING90UxCw/s200/images-1.jpg
ข้อมูล (Data)
        ข้อมูลเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในระบบคอมพิวเตอร์ เป็นสิ่งที่ต้องป้อนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ พร้อมกับโปรแกรมที่นักคอมพิวเตอร์เขียนขึ้นเพื่อผลิตผลลัพธ์ที่ต้องการออกมา ข้อมูลที่สามารถนำมาใช้กับคอมพิวเตอร์ได้ มี  5 ประเภท คือ ข้อมูลตัวเลข (Numeric Data) ข้อมูลตัวอักษร (Text Data) ข้อมูลเสียง (Audio Data) ข้อมูลภาพ (Images Data) และข้อมูลภาพเคลื่อนไหว (Video Data)
สารสนเทศ ( Information)
    ข้อมูลที่มีสาระอยู่ในตัว สามารถสื่อความหมายให้เกิด การเข้าใจกับผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูลนั้น และสามารถที่จะนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ การที่จะได้มาซึ่งสารสนเทศที่ต้องการนั้นจะต้องนำข้อมูล (data) ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สนใจ มาทำการประมวลผลเสียก่อน โดยข้อมูลที่นำมาประมวลผลนั้นอาจจะมาจากแหล่งข้อมูลทั้ง ภายในหรือภายนอกองค์การ
LAN
       LAN ย่อมาจาก Local Area Network คือระบบเครือข่าย แบบเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันในระยะจำกัด เช่น ในอาคารเดียวกัน หรือบริเวณเดียวกันที่สามารถลากสายถึงกันได้โดยตรง ส่วนมากจะใช้สายเคเบิ้ล หรือ ที่เรียกกันว่า สายแลน เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อ อัตราเร็วของเครือข่าย  LAN อยู่ที่ระหวาง 1-100 Mbps ทั้งนี้ความเร็วขอมูลขึ้นอยู่กับ ตัวกลางสายส่งที่ใช้ เทคนิคการส่งสัญญาณ และข้อกำหนดของผู้ให้บริการเน็ตเวิร์ค
MAN
      MAN ย่อมาจาก Metropolitan Area Network คือ  เครือข่ายระดับเมือง ซึ่งเป็นเครือข่ายที่มักเชื่อมโยงกันเฉพาะในเขตเมืองเดียวกัน หรือหลายเขตเมืองที่อยู่ใกล้กัน ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ระบบเครือข่าย MAN เป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่ นำมาเชื่อมต่อกันเป็นวงที่ใหญ่ขึ้นภายในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้งานให้ครอบคลุมเมืองทั้งเมือง ซึ่งอาจเป็นเครือข่ายเดียวกัน เช่น เครือข่ายเคเบิลทีวี หรืออาจเป็นการรวมเครือข่ายกันของเครือข่าย LAN หลาย ๆ เครือข่ายเข้าด้วยกัน
      ตัวอย่าง เช่น ภายในมหาวิทยาลัยหรือในสถานศึกษาหนึ่งๆ จะมีระบบ MAN เพื่อเชื่อมต่อระบบ LAN ของแต่ละคณะวิชาเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายเดียวกันในวงกว้าง เทคโนโลยีที่ใช้ในเครือข่าย MAN ได้แก่ ATM, FDDI และ SMDS ระบบเครือข่าย MAN ที่จะเกิดในอนาคตอันใกล้ คือระบบที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ภายในเมืองเข้าด้วยกันโดยผ่านเทคโนโลยี Wi-Max
WAN
       WAN  ย่อมาจาก Wide Area Networks คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงกันในระยะทางที่ห่างไกลมาก เป็นหลาย ๆ กิโลเมตร ซึ่งอาจใช้เชื่อมโยงระหว่างเมือง หรือระหว่างประเทศ ดังนั้นความเร็วในการเชื่อมโยงระหว่างกันอาจไม่สูงมากนัก เพราะระยะทางไกลทำให้มีสัญญาณรบกวนได้สูง ความเร็วจึงอยู่ในระดับช่วง 9.6-64 Kbps และ 1.5-2 Mbps ขึ้นอยู่กับแอพพลิเคชั่นและขนาดของข้อมูล ผ่านสื่อที่เป็นตัวกลางรับ-ส่งข้อมูลเช่น สายเคเบิล หรือ ดาวเทียม เป็นต้น WAN ต่างกับ LAN ตรงที่สามารถเชื่อมโยงได้ในระยะทางที่ไกลมากกว่า
Cyberspace
      ไซ เบอร์สเปซ, คำซึ่งใช้ในความหมายทางจินตภาพของระบบเครือข่าย และมักใช้สื่อหมายถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะ, พื้นที่อิเล็กทรอนิกส์หรือภูมิประเทศเสมือนที่อยู่บนการสื่อสารแบบออนไลน์ คำนี้มีที่มาจากนวนิยายที่วิลเลียม กิปสัน เขียนไว้เรื่อง Neuromancer ในปี 1984 เป็นสถานที่เกิดเหตุในความคิดที่นำพามาโดยโมเด็ม อยู่ในโลกของคอมพิวเตอร์ออนไลน์และสังคมที่ใช้คอมพิวเตอร์, ขอบเขตหรือบริเวณเชื่อมต่อกันได้ด้วยระบบคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบ อินเทอร์เน็ต
Mainframe
     เป็น คอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงมาก แต่ยังต่ำกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ คือปกติสามารถทำงานได้รวดเร็ว หลายสิบล้านคำสั่งต่อวินาที สำหรับสาเหตุที่ได้ชื่อว่า เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ก็เพราะครั้งแรกที่สร้างคอมพิวเตอร์ลักษณะนี้ได้สร้างไว้บนฐานรองรับ ที่เรียกว่า คัสซี่ (Chassis) โดยมีชื่อเรียกฐานรองรับนี้ว่า เมนเฟรม
Microcomputer
      ไมโคร คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก บางคนเห็นว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานส่วนบุคคล หรือเรียกว่า พีซี (Personal Computer : PC) สามารถใช้เป็นเครื่องต่อเชื่อมในเครือข่าย หรือใช้เป็นเครื่องปลายทาง (terminal) ซึ่งอาจจะทำหน้าที่เป็นเพียงอุปกรณ์รับและแสดงผลสำหรับป้อนข้อมูลและดู ผลลัพธ์ โดยดำเนินการการประมวลผลบนเครื่องอื่นในเครือข่าย อาจจะกล่าวได้ว่าไมโครคอมพิวเตอร์ คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยประมวลผลกลางเป็นไมโครโพรเซสเซอร์ ใช้งานง่าย ทำงานในลักษณะส่วนบุคคลได้
เทคโนโลยีสารสนเทศ ( Information Technology) เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทางด้านใดบ้าง
ตัวอย่างของระบบการสื่อสารในชีวิตประจำวันพร้อมทั้งอธิบายองค์ประกอบของระบบที่ยกตัวอย่างมา 
     พอสังเขป
      การ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานการเงินและการพาณิชย์ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในรูปแบบของเครื่องเบิกถอนเงินอัตโนมัติ เพื่ออำนวยความสะดวกในการฝาก ถอน โอนเงิน และนำคอมพิวเตอร์ระบบออนไลน์และออฟไลน์เข้ามาช่วยในการทำงานประจำวันของ ธนาคารด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลของธนาคารต่างสาขา ต่างธนาคาร ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเบิก ถอน โอนเงินชำระเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้
เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลกระทบต่อตัวคุณและการดำเนินชีวิตของคุณในด้านใดและอย่างไร
       ผลกระทบด้านการเรียนการสอน 
ใน สถานศึกษามีการนำคอมพิวเตอร์และเครื่องมือประกอบช่วยในการเรียนการสอน เช่น วิดีทัศน์ เครื่องฉายภาพ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการศึกษา จัดตารางสอน คำนวณระดับคะแนน จัดชั้นเรียน ทำรายงานเพื่อให้ผู้บริหารได้ทราบถึงปัญหาและการแก้ปัญหาในโรงเรียน ปัจจุบันมีการเรียนการสอนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในสถานศึกษามากขึ้น
แนวโน้มของเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคตจะเป็นไปในทิศทางใด
    การ พัฒนา เทคโนโลยีสารสนเทศในคริสต์ศตวรรษที่21มีแนวโน้มที่จะพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มี ความสามารถใกล้เคียงกับมนุษย์ เช่น การเข้าภาษาสื่อสารของมนุษย์ โครงข่ายประสาทเทียม ระบบจำลอง ระบบเสมือนจริง โดยพยายามนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้นลดข้อผิดพลาดและป้องกันไม่ให้นำไป ใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องหรือผิดกฎหมาย   



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น